คนดีมีศีลธรรม ภายใต้ทัศนะของ โทมัส ฮอบส์

คนดีมีศีลธรรม คือ คนที่สามาถสร้างความปลอดภัยให้กับคนอื่นได้ในรูปแบบของโทมัส ฮอบส์ซซึ่งผู้เขียนจะยกมาเพียงแค่ความปลอดภัย (Security)เพื่อนำมาประยุกต์ ซึ่ง โทมัส ฮอบส์ นั้นได้กล่าวถึงสภาวะก่อนมีรัฐ หรือการร่วมตัวกัน (State of nature) มนุษย์มีอิสรภาพที่เต็มที่และความกลัว หวาดระแวงซึ่งกันและกัน เนื่องแล้วจะต้องมีการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กันและกันคือการสร้างสัญญาประชาคมหรือรัฐขึ้นมาเพื่อจัดสร้างความปลอดภัย แต่เนื่องด้วยสังคมร่วมสมัยในปัจจุบันนั้นการหลีกหนีรัฐหรือการสร้างรัฐให้คนป่าคนดอยมาเข้าร่วมนั้นเป็นสิ่งล้าสมัยไปแล้ว ซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอรูปแบบของการสร้างพื้นที่ความปลอดภัยแบบใหม่ในรูปแบบของสังคมร่วมสมัย จะการที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความปลอดภัยได้นั้นจะต้องมีการสร้างสิ่งที่เรียกว่าภาพลวงตาที่ทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความปลอดภัยถ้าเราอยู่กับคนนี้ ซึ่งการสร้างภาพลวงตานั้นจะต้องเริ่มจากการ โกหก (Lie)
ไม่ได้เริ่มจากการพูดความจริง เนื่องจากสังคมร่วมสมัยนั้นมีการขยายการรับรู้ตัวข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่สามารถทำให้รับรู้ข่าวสาร ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ข่าวสารมีมากล้นเกินกว่าคนคนจะสามารถรับรู้ได้ ดังนั้นจึงเกิดการเลือกการเสพข้อมูล ข่าวสารที่มีลักษณะเฉพาะหรือข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เกิดความพึงพอใจเพียงนั้น จึงเกิดปรากฏการณ์การสร้างข่าวปลอม (Fake News) สามารถทำให้ผู้ที่เสพข่าวปลอมรู้สึกถึงการมีอยู่ของคุณธรรมอย่างบางที่มีลักษณะเฉพาะตัว เช่นการเชื่อว่าการทำให้คนรุ่นใหม่นั้นมีความคิดล้มเจ้า ลุกขึ้นมาต่อต้านระบบกษัตริย์นั้นเกิดจากมีคนปลุกปั่นโดยการใช้คลื่นสัญญาณเปลี่ยนความคิดคนรุ่น ซึ่งหากใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคลื่นสัญญาณที่สามารถบังคับสมองของมนุษย์ได้ ดังนั้นแล้วความเชื่อแบบนี้ทำให้เกิดคุณธรรมศีลธรรมใหม่ซึ่งเชื่อว่า คนดีคือคนที่ไม่ถูกคลื่นสมองควบคุม แต่คนที่ไม่ดีนั้นคือคนที่ถูกคลื่นสมองควบคุมแล้วสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง ซึ่งการที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้สามารถคนที่มีหลักการคุณธรรมที่แตกต่างกันนั้น จะต้องมีการโกหกเกิดขึ้นนั้นสามารถที่จะสร้างภาพลวง หรือสร้างภาพความปลอดภัยขั้นแรกขึ้นมานั้นคือการโกหก เพราะการโกหกนั้นสามารถสร้างภาพลวงตาในช่วงแรกของการที่จะสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยระหว่างคนสองคนได้ ยกตัวอย่างเช่น หากคนหนึ่งจะสามารถรู้จักกันได้จะต้องเริ่มจากการเข้าหากันซึ่งการเข้าหากันนั้นคือการเข้าไปเผชิญหน้ากับพื้นที่แห่งการโกหก เพราะต่างฝ่ายจะต้องเก็บความรู้สึกที่แท้จริงไว้ก่อนในช่วงแรกหลังจากนั้นถึงจะเกิดความเชื่อใจในทีหลัง
ดังนั้นแล้วหลักการการโกหกนั้นเปรียบเสมือนการสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยในช่วงแรกจึงสอดคล้องกับการสร้างข่าวปลอมที่ทำให้สามารถสร้างศีลธรรมอะไรบางอย่างที่สอดคล้องกับความพึงพอใจของอีกฝ่ายที่ความเชื่อที่สอดคล้องกับที่ความคิดของเขา เพราะการสร้างข่าวปลอมนั้นเหมือนกับการโกหกเพื่อมีจุดประสงค์คล้ายกันคือการพื้นที่ที่ปลอดภัยระหว่างสองฝ่าย หรือการสร้างพื้นที่แห่งความหลากหลายให้การเป็นหนึ่งเดียวคือการรู้สึกว่าปลอดภัยเหมือนกันทั้งหมด หลังจากนั้นระยะต่อไปคือการเกิดขึ้นของความอดทนระหว่างสองฝ่าย ความอดทนนั้นจากคนสองคนได้เข้ามาในพื้นที่ปลอดภัยแล้วใช้เวลาร่วมกันภายใต้กิจกรรมบางอย่างจะต้องมีการปะทะกันระหว่างความคิดที่หลากหลายหรือการมีศีลธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งการอดทนนั้นที่ใครบางคนมีต่อความแตกต่างทางศีลธรรมทำให้เห็นถึงความผูกพันและยึดมั่น และบ่งบอกว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีและสิ่งที่ร้ายเลว ความอดทนเป็น ภาระแม้ว่าจะไม่ได้หนักหนาอะไรมากนักแต่สำหรับผู้ที่ความคิดทางศีลธรรมที่แตกต่างนั้นก็ไม่ได้มีความห่วงใยอะไรมากนัก เช่นคนที่มีความเชื่อว่า การขับรถไม่จึงจำเป็นจะต้องสวบใส่หมวกกันน็อตเสมอไป ก็ไม่ได้สนใจว่าว่าคนที่ใส่หมวกกันน็อคจะขัดกับหลักการศีลธรรมที่ตนมีอยู่ และที่สวบใส่หมวกกันน็อคก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคนที่ไม่สวบใส่หมวกกันน็อต เพราะไม่ได้ความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจกันเพราะทั้งสองความคิดนี่ไม่ได้สร้างความแตกแยกกันในพื้นที่ปลอดภัย
พื้นที่ความปลอดภัยนั้นจะเกิดขึ้นถ้าแต่ละคนมีความอดทนซึ่งกันและกันได้ ผ่านการใช้คำโกหกนั้นสามารถสร้างลักษณะการประนีประนอมซึ่งกันและกันตลอดเวลา ก่อนสร้างหลักการประนีประนอมจะเกิดจากความอดทนไม่ไว้แล้ว จะเกิดการต่อต้านกันเกิดขึ้นเมื่อการต่อต้านเกิดขึ้น การประนีประนอมก็จะเกิดขึ้นเพราะการประนีประนอมกันนั้นความอดทนก็จะหมดเนื่องจากการประนีประนอมกันทำให้มีฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียประโยชน์และอีกฝ่ายได้ประโยชน์ต่อการสร้างการประนีประนอม เพราะเป็นการยอมต่อผลประโยชน์และการยอมเสียประโยชน์ หลังจากนั้นก็จะเข้าการสร้างการครอบงำและการขูดรีดผ่านด้านความคิดของยอมต่อหลักการของกฎที่ได้ประนีประนอมกันไว้แล้ว เมื่อหลักการประนีประนอมได้เกิดการต่อต้านกันเกิดขึ้น จะเกิดคำโกหกรูปแบบใหม่ที่สามารถสร้างพื้นความปลอดภัยให้กับผู้เห็นด้วยต่อคำโกหกนั้น ซึ่งลักษณะที่จะเกิดขึ้นต่อการอยู่ร่วมกันต่อแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมคุณค่าความดีดังกล่าวขัดแย้งกับคุณค่าความดีของผู้อื่นในสังคม คือ คำโกหก (ศีลธรรม) นำไปสู่การสร้างพื้นที่ความปลอดภัย (Security) นำไปสู่ความอดทน แล้วจึงไปสู่การสร้างปรานีปราน้อมระหว่างฝ่าย นำไปสู่ความขัดแย้ง นำจึงไปสู่คำโกหกรูปแบบใหม่ จะเกิดวัฏจักรของการสร้างความดีดังนี้ เพราะความดีที่สูงสุดนั้นไม่อาจมีอยู่จริงแต่จะเป็นการเปลี่ยนลักษณะชองการสร้างหลักศีลธรรมไปเรื่อยๆ ตามพื้นที่ของการอยู่อาศัยของมนุษย์.