นิทานเรื่องเล่า ของทนายที่ว่าความให้ลูกความ ทำให้กลับผิดเป็นถูก และผลที่ได้รับ

ในช่วงเวลานี้ ปลายเดือน ตุลาคม 2567 ได้มีข่าวดัง กลบกระแสข่าว THE ICON อีกข่าวหนึ่ง ก็คือข่าวของทนายดังท่านหนึ่ง ซึ่งจะไม่ขอพูดถึงในเรื่องของคดีนี้ เพราะยังไม่สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม ไม่สามารถบอกได้ว่าใครผิดใครถูก แต่จะขอเล่าถึง “นิยาย” ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ในชนบทแห่งหนึ่ง ได้เล่าถึง ทนายความคนหนึ่ง เมื่อ 10-20 ปีก่อน ในจังหวัดที่ห่างไกล ที่มีพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีนัก และสุดท้ายก็ลงเอยด้วย จุดจบที่ไม่สวยงาม ซึ่งในเรื่องนี้ ไม่ขอเอ่ยว่าเป็นเรื่องจริง แต่ขอให้คิดว่าเป็นเรื่องเล่า หรือ นิยายสอนใจ นะครับ
เรื่องนั้นมีอยู่ว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกิดมีข่าวลือว่า มีพระสงฆ์ที่บวชใหม่ๆได้ไม่นาน รูปหนึ่ง ได้หนีออกจากวัด(หรือได้ลาสิกขา ก็ไม่ทราบ) เพื่อต้องการที่จะไปหามารดาของตน ที่ได้ข่าวว่าถูกรถเฉี่ยวชน จนเข้าโรงพยาบาล และร้อนใจ ที่จะหาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ถึงขั้นขู่ทำร้ายคู่กรณีที่ขับรถนั้น จนเป็นข่าวในท้องถิ่นพักใหญ่ๆ

พอเรื่องการรักษาพยาบาลจบลง ก็ได้ว่าจ้าง “ทนายความ” ท่านหนึ่ง ทนายท่านนี้ มีฐานะค่อนข้างดี พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ให้ว่าความให้ เพื่อที่จะได้เรียกร้องค่าเสียหาย กับคู่กรณีให้มากที่สุด แต่พฤติกรรมของทนายท่านนี้ ก็รับงาน แต่ไม่ค่อยดำเนินการให้เท่าไหร่ นัก พยายามยื้อ และเรียกเงินผู้ว่าจ้างเรื่อยๆ จากหลักพัน ไปหลักหมื่น หลายๆครั้ง แต่เรื่องก็ไม่ได้คืบหน้าเท่าไหร่ และท้ายที่สุดก็คือ แพ้คดี แม้ว่าจะมีพยานหลักฐานที่แน่นหนาก็ตาม
อดีตพระสงฆ์ท่านนั้น ปัจจุบันคือฆราวาสที่มารดาถูกรถเฉี่ยวชน จึงวางแผนสืบเสาะหาข้อเท็จจริง จึงพบว่า ทนายความ ท่านนี้ ได้คุยตกลงกับคู่กรณีอย่างลับๆ เพื่อให้ช่วยล้มคดี โดยรับเงินค่าจ้างให้ล้มคดีด้วย ดังนั้น ทนายท่านนี้จึงรับเงินทั้ง 2 ฝ่าย แต่ทำให้ฝ่ายที่ให้เงินมากกว่า เป็นฝ่ายชนะ แม้ว่าจะเป็นฝ่ายที่ผิดก็ตาม ทำให้ฝ่ายโจทย์ ต้องเสียสุขภาพร่างกาย(รถเฉี่ยวชน) เสียทั้งเงิน(ค่าจ้างทนาย) เสียเวลา และเสียใจที่ไม่สามารถเอาคนผิดมารับโทษได้ และด้วยความโกรธ จึงบุกไปที่บ้านของทนายท่านนั้น และไปต่อว่าต่างๆนานา และบอกว่าตนทราบแล้วว่า ทนายคนนี้ ถูกจ้างล้มคดีด้วยเงินจำนวนหนึ่ง แต่ทนายท่านนั้นไม่ยอมรับและอ้างจะดำเนินการฟ้องร้องกลับเอาค่าเสียหาย โทษฐานกล่าวเท็จและทำให้เสียชื่อเสียง จึงต้องยอมกลับไป แต่ก่อนกลับได้ สาปแช่ง ทนายท่านนั้นว่า ขอให้ได้รับผลกรรมของการกระทำนั้นๆในเร็ววัน
ต่อมา ภรรยาของทนายท่านนั้น ก็เกิดตั้งท้องบุตรคนที่ 2 โดยไม่คาดคิดมาก่อน ทนายท่านนั้นกับภรรยาก็ดีใจมาก ดูแลครรภ์อย่างดี เพื่อให้บุตรเกิดมาอย่างสมบูรณ์มากที่สุด เมื่อถึงเวลาคลอดบุตร ก็คลอดตามปกติ เด็กก็แข็งแรงดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อเด็กคนนี้อายุได้ 2 ขวบ ก็มีอาการป่วยแขนขาอ่อนแรง สมองเริ่มไม่ทำงาน พูดไม่ได้ ทนายความท่านนั้นและภรรยา ก็พยายามเสาะแสวงหา หมอดีๆ โรงพยาบาลดีๆ เพื่อรักษาบุตรคนนี้ แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็ไม่สามารถรักษาได้ หมอหลายท่าน ไม่สามารถระบุได้ว่าเด็กเป็นโรคอะไร สร้างความทุกข์ใจให้กับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ อย่างมาก
ทนายท่านนี้ ใช้เงิน ใช้ทองไปกับการรักษาพยาบาลบุตรจำนวนมาก แต่ก็ไม่ดีขึ้นเลย สร้างความเครียดให้กับตัวทนายความท่านนี้อย่างมาก เพราะต้องทำงานด้วย ต้องดูแลลูกด้วย ภรรยาก็ไม่ได้ทำงาน เพราะแต่ก่อนอาชีพทนายความก็สามารถหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่จำเป็นต้องให้แม่บ้านไปทำงาน ก็สามารถอยู่อย่างร่ำรวย แต่ปัจจุบัน เงินทอง เริ่มร่อยหรอลงไป งานที่เข้ามาก็ไม่มากอย่างแต่ก่อน หนำซ้ำยังแพ้ คดีบ่อยๆ ความเครียดก็ยิ่งสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดสมองแตก ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก ทำให้ไม่สามารถทำงานได้เหมือนแต่ก่อน
ทนายท่านนั้น ทุกข์ทรมานอยู่นานหลายปี ก็เสียชีวิต สำหรับภรรยาและบุตรคนที่ 1 ไม่ทราบชะตากรรม แต่บุตรคนที่ 2 นั้นเสียชีวิตก่อนที่ทนายความท่านนั้นจะเสียชีวิตไม่นาน บ้านที่ใหญ่โต กลับกลายเป็นบ้านร้าง และเป็นที่โจษขานไปทั่วถึงความ “เฮี๊ยน” ทำให้วัยรุ่นยุค 90′ เข้ามาล่าท้าผี บ่อยๆ

ตอนที่แกเสียชีวิตใหม่ๆ มีข่าวลือ ว่ากันว่า ไปปรากฏในฝันของ ลูกความ ที่เคยจ้างว่าความ และได้กระทำสิ่งเลวร้ายต่างๆ เช่น หลอกเอาเงินลูกความ , การรับเงินว่าความจากทั้ง 2 ฝ่าย, ติดสินบน ฯลฯ ซึ่งไปปรากฏตัวและคุกเข่าขอโทษต่อสิ่งที่เคยทำไว้กับบุคคลเหล่านั้น จึงมีเสียงลือ เสียงเล่าอ้าง โด่งดังพอสมควร แม้จะไม่มากมาย ลูกความหลายคนก็อโหสิให้ หลายคนก็ไม่อโหสิให้ (ในฝัน) และสิ่งที่หลายๆคนไม่ต้องเดาให้ยากก็คือ ภพภูมิที่ ทนายท่านนี้จะต้องไป คงไม่พ้น “นรก” ขุมใด ขุมหนึ่ง อย่างแน่นอน
จากนิทานเรื่องเล่า เรื่องนี้ แม้จะไม่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง แต่คาดว่าคงมีเค้าโครงของเรื่องจริงอยู่บ้าง ที่สำคัญก็คือ ชาวพุทธ อย่างคนไทย ส่วนใหญ่เชื่อใน กฏแห่งกรรม ที่ใครทำอะไรไว้ ก็จะได้รับสิ่งที่กระทำ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดี หรือ ชั่วก็ตาม * กฏขอฟิสิกส์ Action = reAction ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะทำอาชีพใด พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ประกอบ สัมมาอาชีพ คือ ประกอบอาชีพโดยสุจริต แม้จะไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ก็มีกินมีใช้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสังคมได้อย่างมีความสุขอย่างแน่นอน