จับเข่านั่งคุย :: วิเคราะห์ซีรีย์ Peaky blinders ตอนที่ 2
มาเฟียกับหลักการใช้อำนาจ
อำนาจมืด // การเมือง // ผลประโยชน์
ตัวอย่างในซีรี่ส์เห็นได้ชัดว่าต่อให้มีระบบมาเฟียที่ใช้ความุรนแรงมากเพียงใด แต่ในองค์กรของมาเฟียกับมีความเข้มแข็งประชาธิปไตยมากสมควร เนื่องจากมีการโหวตแบบประชาธิปไตย เป็น Family Vote ซึ่งเป็นการเรียกมาประชุมกันเกี่ยวกับความสิ่งเกิดขึ้นหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กระทบกับเครือข่ายของระบบมาเฟีย หรือเรียกกันเป็นครอบครัว (Family) ซึ่งมีลักษณะคล้ากับการโหวตลงเสียงการเลือกตั้งปกติที่หาเสียงข้างมากในการใช้การตัดสินใจในการที่จะประกอบกิจกรรมอื่นๆ หรือต้องการถามความเห็นว่าจะต้องรับความเสี่ยงแบบนี้ได้ไหม ส่วนใหญ่จะเป็นการถามหาสิ่งที่จะทำให้แก่เครือข่ายของมาเฟีย เหมือนเป็นการต้องการหาความชอบธรรมจากเครือข่ายว่าเห็นด้วยกับการกระทำครั้งนี้หรือไม่ ซึ่งอาจะเป็นไปได้การใช้Family Vote นั้นจะเกิดขึ้นได้แน่นอนว่าจะต้องเป็นสมาชิกของครอบครัวหรือเครือข่ายของระบบมาเฟีย และต้องมีความสัมพันธ์กันพอสมควรไม่เพียงแค่เป็นสมาชิกใหม่หรือเด็กใหม่ แต่ในซีรีส์นำเสนอออกมานั้น การที่จะเกิด Family Vote ได้นั้นมีเพียงระดับหัวหน้าของเหล่ามาเฟีย เท่านั้นไม่ใช่สมาชิกภายนอกจะเข้าร่วมประชุมหรือ Family Vote ได้เหมือนกับระดับหน้าจะต้องลงคะแนน หรือมาร่วมการโหวตได้
หรืออาจะเป็นไปได้ว่าการเกิดขึ้นของ Family Voteนั้นจะต้องมาจากคนในครอบครัวระดับหัวหน้าของเครือข่ายมาเฟียเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้เกิด Family Voteได้ หรือเหล่าแก๊งมาเฟียหรือจะต้องมีสถานะเท่ากันถึงจะเข้าร่วมโหวต ดังนั้นจึงเท่ากับการจะมีความเป็นประชาธิปไตยนั้นมีเพียงระดับหัวหน้าร่วมประชุมหารือกันเพียงหัวหน้าเท่านั้น ส่วนลูกน้อง หรือสมาชิกคนอื่นๆก็ใช้ได้การสั่งการแบบลำดับขั้นเหมือนกับระบบข้าราชการ คือเป็นแบบลำดับขั้น (Hierarchy) เป็นการสั่งการจากระดับหัวหน้าลงมาสั่งการหาลูกน้อง หากลูกน้องคนไหนทำงานที่ต้องการไม่ได้ก็จะมีบทลงโทษที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่เน้นใช้การฆาตรกรรมมากกว่า ที่จะปล่อยให้ลูกน้องไป ดังจากหากปล่อยไปก็จะทำให้ลูกน้องอาจจะไปเป็นลูกน้องของคนอื่นหรือมาเฟียกลุ่มอื่น อาจทำให้เครือข่ายของมาเฟียสั่นคลอนได้ เพราะมีข้อมูลหลุดไหลออกไป อาจทำให้มีผลระทบต่อเครือข่าย
ดังนั้นแล้วโครงสร้างของมาเฟียทำให้โครงสร้างทางการเมืองได้รับผลกระทบมากกว่า ที่ความเป็นประชาธิปไตยั่นคลอนเป็นส่วนใหญ่ ที่ทำให้โครงสร้างทางการเมืองมีปัญหาหรือได้รับผลกระทบก็เพราะว่า มาเฟียทำให้นักการเมืองท้องถิ่นจะต้องเข้าไปเสี่ยงกับความรุนแรงของมาเฟีย เมื่อมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรืออาจจะกล่าวอีกมุมก็คือ นักการเมืองหน้าใหม่หรือนักการเมืองท้องถิ่นจำเป็นจะต้องเข้าร่วมกับกลุ่มมาเฟียเพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยจากแก๊งมาเฟียที่ตนเองสังกัดอยู่และแก๊งอื่นด้วย แต่ก็เป็นสิ่งที่เสี่ยงอยู่ดีเพราะ ทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายกว่าเดิมและอาจจะถูกทำร้ายก่อนที่จะทำร้ายหัวมาเฟียด้วย สิ่งโครงสร้างทางการเมืองที่จะเข้าไปร่วมกับมาเฟียนั้นและเป็นการตัดกำลังใจผู้สมัครในท้องถิ่น ที่จะทำให้ตัวเองใสสะอาดราวกับจะเป็นผู้นำได้ในท้องถิ่นแต่กลับไม่สามารถทได้ เนื่องจากจะต้องรับฟังปัญหาของเหล่ามาเฟียก่อน ถึงจะรับฟังปัญหาชาวบ้าน จึงทำให้ประชาชนอาจจะฟังและขอความช่วยเหลือจากมาเฟียมากกว่าที่จะมาขอความช่วยเหลือจากรัฐ
ระหว่างระบบการช่วยเหลือจากรัฐ กับการช่วยเหลือของมาเฟีย เนื่องด้วยระบบข้าราชการของรัฐหรือระบบการทำงานของรัฐ อาจจะมีความซับซ้อนมากเกินหรือไม่ก็ไม่มีการเหลือช่วยของรัฐ ทำให้ประชาชนบอกเห็นว่าในบางครั้งยางเรื่องก็ไม่สามารถที่จะขอจะให้รัฐเข้ามาช่วยในการจัดการได้ เช่น สิ่งผิดกฎหมายบางสิ่ง ได้ช่วยเหลือด้านสุขภาพ กัญชาที่ช่วยให้สามารถที่จะนอนหลับได้สบาย แต่กลับกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้นแล้วผู้ที่สามารถช่วยได้คือ มาเฟีย นักธุรกิจตลาดมืด ที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือผ่านการซื้อขาย ถึงแม้นี้อาจจะเป็นเหมือนการช่วยเหลือแต่ ก็ใช่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือแบบได้แต่เพียงด้านเดียว ในโลกของทุนนิยมทที่ขับเคลื่อนโดยผลประโยชน์ทางเงินตรา แน่นอนว่าผู้ที่จะได้รับความช่วยเหลือก็ต้องทุน หรือ เงินตรา จำนวนที่มากพอที่จะขอความช่วยเหลือจากมาเฟียได้ง่าย
อาจเปรียบได้ว่า ผู้มีจำนวนของทุนประมาณหนึ่ง เป็นผู้ที่สามารถขอให้มาเฟียเข้ามาช่วยในการดำเนินการสะดวกสบายมากขึ้นหรือการเรียกให้มาเฟียมาดูแลชีวิตเป็นBodyguard เพื่อให้รอดพ้นจากอันตราย เพราะสามารถที่จะทำให้มาเฟียเข้ามาอยู่ในสังกัดหรือการดูแลของตัวเองผ่านการใช้ทุน หรือเงินและการแบ่งธุรกิจที่ผิดกฎหมายให้กับมาเฟียเป็นผู้บริหาร เพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างให้กับมาเฟียและตัวผู้ประกอบการเอง ตัวอย่างจะให้ได้ชัด ตอนที่Oswald Mosley ขึ้นปราศรัยก็ได้มี Bodyguardที่เป็น มาเฟียมาค่อยคุ้มกันให้พ้นจากสถานนะการอันตราย ดังนั้นการที่จะเรียกให้มาเฟียมาช่วยในการดำเนินชีวิตก็ต้องแลกด้วยผลประโยชน์ทางเงินตราที่ค่อนข้างเยอะพอสมควร หรือไม่ก็ต้องมีฐานทางอำนาจที่มาด้วยกับตำแหน่งที่ใหญ่โตพอที่จะทำให้มาเฟียได้ใช้ความรุนแรงโดยที่มาเฟียจะไม่ถูกเข้าคุกจะต้องหาวิธีมายืนยันหรือรับประกันได้ว่า จะไม่ทำให้เหล่ามาเฟียเหล่านี้ตกที่นั่งลำบาก
มาเฟียกับการช่วยเหลือรัฐมีอำนาจมากขึ้นหรือมาเฟียกลายเป็นผู้ทำให้รัฐมีอำนาจน้อยลง ซึ่งจะเห็นได้ว่ามาเฟียเปรียบเสมือนเครื่องมือที่มีความสารพัดประโยชน์และสารพัดความเลวร้ายที่คาบเกี่ยวกัน มาเฟียอาจจะกลายเป็นผู้ทำให้รัฐมีอำนาจมากขึ้น ได้อย่างไร ในยุคปัจจุบันรัฐได้มีอำนาจน้อยลง เนื่องจากการเปิดการเมืองที่เสรีตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ทำให้เกิดการเรียกร้องที่ไม่หยุดไม่สิ้นจากเหล่ามวลชนไม่มีความพอ ดังนั้นมาเฟียอาจจะเป็นอีกทางเลือกที่รัฐจะสร้างพื้นที่สงวนให้กับมาเฟีย เพื่อใช้ในการควบคุมการประท้วงหรือการเรียกร้องของประชาชน ผ่านการใช้วิธีการข่มขู่ทั้งการทางกายภาพและทางจิตใจผ่านการสื่อออนไลน์หรือการเขียนจดหมายข่มขู่ เพื่อทำให้ประชาชนมีความหวาดกลัว ซึ่งหากรัฐใช้มาเฟียเป็นเครื่องมือ จะช่วยให้รัฐสามารถที่จะรวมศูนย์อำนาจได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับความอ่อนแอ่ในการละเลยที่จะช่วยเหลือประชาชนผ่านระบบที่รัฐเป็นสร้างแล้วหันมาใช้ มาเฟียเป็นตัวควบคุมแทนระบบ เพราะใช้เพียงการสร้างสิทธิพิเศษให้กับมาเฟียในการใช้ความรุนแรงและผลประโยชน์ทางเงินตรา ใช้แลกผลประโยชน์เพียง2อย่างก็สามารถที่จะทำให้รัฐมีอำนาจเข้มแข็งมากขึ้น
แล้วถ้าใช้มาเฟียได้ไม่เป็นตามได้กล่าวไว้จะเกิดอะไรขึ้น อาจจะเกิดการเรียกร้องการประท้วงในเรื่องของAnti-Mafiaครั้งใหญ่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่เห็นในซีรี่ส์คือ เจ้าของธุรกิจมีความจำเป็นจะต้องลดค่าแรงและมีการข่มขู่แรงงานไม่ให้เรียกร้องให้หยุด คนงานจึงรวมตัวกันหยุดทำงานและมีการวางแผนที่จะทำร้ายArthur Shelby ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจและเป็นมาเฟียด้วย จะเห็นได้ว่าการใช้มาเฟียเป็นผู้เข้ามาช่วยควบคุมนั้นจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ปกติไม่ใช่สถานการณ์ที่เลวร้าย ซึ่งเกิดขึ้นในซีรีส์นั้นเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เนื่องจากเกิดสงครามเย็นและการเผยแพร่ของระบอบคอมมิวนิสต์ มาเฟียก็อาจจะกลายเป็นทั้งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้รัฐเข้าสู่ความวุ่นวายได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ก็ช้าลง
Might is Right การใช้กำลังไม่ได้เป็นวิธีทางที่จะทำให้ควบคุมประชาชนเหมือนเมื่อก่อนตลอดไป เนื่องด้วยในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศประชาธิปไตยเป็นส่วนใหญ่แล้วมีการเรียกร้องถึงการใช้รุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งในครอบครัวและรวมถึงการใช้อำนาจของรัฐทุกอย่างเริ่มใช้กำลังได้ยากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่ตนต้องการที่จะรู้ได้ง่ายขึ้นและไม่มีการคัดกรองจากรัฐ รัฐไม่สามารถที่จะปิดกั้นการรับรู้ของประชาชนได้อีกต่อไปทำให้รัฐจะต้องหามีวิธีใหม่ และมาเฟียนั้นก็จะต้องเปลี่ยนวิธีการใช้ความรุนแรงที่โจ่งแจ้งให้กลายเป็นที่ลับตามมากขึ้นดังนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบการเมืองและการสร้างภาพลักษณ์การเลือกตั้งแบบใหม่ขึ้นผ่านการใช้การชักจูงผู้ทำแบบใหม่ขึ้นมา
การชักจูงผ่านการโน้มน้าวสามารถทำได้ง่ายกว่า ผ่านการใช้โฆษณาผ่านทีวีโทรทัศน์หรือผ่านโซเชียลมีเดียในการชักจูงคนส่วนใหญ่ให้สามารถเข้ามีส่วนร่วมในชีวิตซึ่งการเมืองในรูปแบบใหม่คือ เราสามารถที่จะเลือกผู้แทนที่ลงสมัครผ่านการมีภาพลักษณ์ผ่านโซเชียลมีเดียและเป็นการจัดการได้ง่ายในโซเชียลมีเดีย เพราะว่าสามารถที่จะเลือกลงแต่ช่วงที่ทำให้ตัวผู้สมัครนั้นมีภาพลักษณ์ที่ดี และสามารถตัดต่อในช่วงที่ทำภาพลักษณ์ของตนได้รับผลกระทบ ดังนั้นแล้วในยุคสมัยใหม่ไม่จำเป็นจะต้องใช้กำลังข่มขู่เพียงอย่างเดียว แต่สามารถทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของตัวผู้สมัครได้ ถ้าสามารถรับรู้ได้ถึงการมีมาเฟียอยู่เบื้องหลัง แต่ในบางครั้งภาพลักษณ์ของมาเฟียนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายตลอดอาจจะเห็นมาเฟียออกมาช่วยเหลือในช่วงการระบาดของโควิดที่ผ่าน โดยกลุ่มมาเฟียที่ออกมานั้นช่วยเหลือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด โดยการแจกจ่ายข้าวอาหาร น้ำ อุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งในบางครั้งมาเฟียก็สามารถที่จะเป็นผู้ใจบุญได้ ในเมื่อสถานการณ์ที่ไม่ปกติในปัจจุบัน
และมาเฟียอาจจะกลายเป็นผู้ท้าทายความแข็งแกร่งของอำนาจรัฐก็ได้ เพราะหากมองมาเฟียเป็นนักธุรกิจที่ผิดกฎหมาย แน่นอนว่าสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือการใช้ความรุนแรงในพื้นที่สาธารณะนั้น ย่อมผิดกับกฎระเบียบที่รัฐต้องการให้สังคมอยู่ในความเรียบร้อยเพื่อให้ง่ายต่อการดูแล การทำผิดกฎหมายนั้นอาจจะเป็นเย้ยยันว่ารัฐ สามารถที่จะควบคุมกลุ่มธุรกิจที่ผิดกฎหมายแบบนี้ หรือกล่าวเป็นนัยยะว่า รัฐอ่อนแอ่ต่อการใช้กฎหมายหรือการดูแลประชาชนในรัฐเอง เพราะว่าสามารถที่ปราบปรามเหล่ามาเฟียเหล่านี้ได้ ดังนั้นอาจจะกล่าวในอีกแง่ได้ว่า การที่รัฐนั้นมีมาเฟียมากน้อยเพียงใด ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐสามารถที่จะใช้ความถูกต้องทางกฎหมายได้เด็ดขาดมากเพียงใด หรือแสดงความเข็มแข็งการกวาดอาญชากรได้มากน้อยเพียงใด
อาจจะเป็นเพราะ ครอบครัวที่ทำให้องค์กรเข้มแข็งขึ้นไปกว่าองค์กรอื่นๆ แน่นอนว่าความเข็มแข็งไม่ได้ขึ้นกับฐานการบังคับบัญชาที่ฐานที่แข็งแกร่งเพียงตำแหน่งอย่างเดียวแต่ใช้ลักษณะความสัมพันธ์ผ่านการใช้คำแทนว่าครอบครัว การเป็นครอบครัวนั้นจะต้องมีสายความสัมพันธ์ที่เรียกว่ามีอัตลักษณ์ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เช่น นามสกุล พี่น้องร่วมสาบานที่มีพิธีกรรมที่สามารถรวมกันหนึ่งเดียว และมีชื่อเรียกจากเรียกองค์กรชื่อเดียว ซึ่งการทำมีส่วนร่วมที่มีการรวมกันเป็นหนึ่งก็สามารถที่จะทำให้ครอบครัวเข็มแข็งหรือทำให้องค์กรมีความเข็มแข็งมากขึ้น เพราะมีอัตลักษณ์เดียวกันมีส่วนร่วมในการผ่านอะไรซึ่งกันและกันมาอย่างยาวนาน เป็นการสร้างความทรงจำร่วมกันเพื่อทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความรู้สึกเหมือนกัน หากมีใครคนหนึ่งในสมาชิกครอบครัวได้รับอันตราย ก็จะกลับมาช่วยกัน