สรุปปัญหาทั้งหมด ของ PM 2.5 ในประเทศไทย เกิดจากอะไร มีผลเสียแค่ไหน และทำไมถึงแก้ไขไม่ได้สักที
ในระยะเวลาประมาณเกือบ 10 ปีมาแล้ว ที่ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM2.5 (จริงๆแล้วมี PM 10 ด้วย แต่ว่าเจ้าตัว PM 2.5 มันร้ายกว่า) เริ่มส่งผลเสียต่อสุขภาพและเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจาก มีผลต่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะภาคเหนือ อย่างมาก (ใครไม่รู้ว่ามากแค่ไหน ลองไปดูจังหวัดเชียงใหม่) ในฤดูหนาวแต่ละปี คือ ฤดูกาลท่องเที่ยว รับลมหนาว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะไปภาคเหนือ ในจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนฯ แต่ปัจจุบัน ใครจะไปดมฝุ่น แค่ค่า PM 2.5 เกิน 100 นี่ก้อรู้สึกอึดอัดแล้ว แล้วใครจะอยากเจอ PM 2.5 = 400-500 คือแทบจะช๊อคตาย
จริงๆแล้ว ประเทศไทยเราแตกตื่นเรื่อง PM 2.5 มาแล้วรอบหนึ่งในช่วงก่อนโควิด 19 จะระบาด ช่วงนั้น เร่งแก้ไขปัญหา เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างมาก มีการพูดคุย สัมมนามากมาย เพื่อสร้างความเข้าใจ และถกปัญหาว่าเกิดจากอะไร และควรแก้ไขอย่างไร ? ซึ่งไม่ว่าจะทำอย่างไร เราก็จะทราบแล้วว่า แม้แต่ปัจจุบันนี้ ปัญหาก็ยังไม่ถูกแก้ไขแต่อย่างใด แถมมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
PM 2.5 ภัยที่ร้ายแรง แต่ไม่ค่อยตระหนัก
เชื่อว่าหลายๆคนยังไม่รู้ว่า PM 2.5 นั้นจริงๆแล้ว เป็นปัญหาร้ายกว่าที่เราคิด เพราะ PM 2.5 นี่ จะว่าไปแล้วมีขนาดเล็กมากๆ มากซะจนมันสามารถซึมผ่านผิวหนังเราได้ด้วยซ้ำ และที่สำคัญคือ มันทำให้เกิดปัญหาที่ถุงลมขนาดเล็กในปอดของเรา ชนิดที่ว่า สร้างผลกระทบโดยตรง และสำหรับผู้ป่วยโรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด อันนี้จะหนักหน่อย เพราะ PM 2.5 มันนั้นคือฝุ่น ลองนึกสภาพว่า ฝุ่นมันเข้าไปในร่างกายเรา จุดที่มันจะเข้าไปอยู่ก็คือ ในเลือดของเรา ผ่านทางปอดที่เราสูดเข้าไปเป็นหลัก และซึมเข้าผ่านผิวหนังก็ไปโผล่ที่หลอดเลือดเราอีกนั่นแหละ
แล้วก็พอจะนึกออกว่า ฝุ่นเข้าไปในน้ำ(เลือด) มันก็จะทำให้น้ำขุ่น และเหนียวข้น (เหมือนนำน้ำใส่แก้ว แล้วค่อยๆเติมน้ำตาลลงไป) ทำให้เลือดเราหนืด และมีโอกาสอุดตันได้ง่าย ในเมื่อมันอยู่ในกระแสเลือดเรา แสดงว่ามันสามารถกระจายไปทั่วร่างกายของเราได้ง่ายๆ แล้วถ้ามันไปมีผลกระทบต่อสมองเราละ มันไปกระตุ้นให้ร่างกายเราเกิดความผิดปกติละ นั่นแหละครับ ที่นักวิจัยหลายคนทั้งในและต่างประเทศ ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับ PM 2.5 ว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ได้อย่างไรบ้าง คงไม่ต้องบอกเราเองก็พอจะเดาได้แล้ว
อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า PM 2.5 นั้นมีผลกระทบเหมือนเราสูบบุหรี่ หรือมากกว่าเลยทีเดียว
PM 2.5 มันเกิดจากอะไรกันแน่ ?
มันก็เกิดจากการเผาสิ่งต่างๆ อย่างที่ทุกๆท่านเข้าใจนั่นแหละครับ แต่การเผาสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวันปกติ มันไม่ได้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศได้มากมายถึงขนาดนี้ ในปัจจุบัน ถ้าถามว่า รถยนต์, การเผาขยะเล็กๆน้อยตามบ้าน ,การประกอบอาหาร มันมีผลไหม ? ต้องตอบว่ามี แต่น้อยมาก ส่วนรถยนต์หากมีปริมาณมากกว่าปกติ ก็จะมีผลบ้าง
แต่สาเหตุที่มันทำให้เกิดปัญหาจริงๆ คือ การเผาป่า, การเผาจากการทำการเกษตร เช่น เผากอฟาง่ข้าว, เผาไร่ข้าวโพด , เผาไร่อ้อย รวมถึงการเผาเพื่อจัดการกับพื้นที่ เพื่อทำการเกษตร นี่แหละคือปัญหาใหญ่ๆ ที่แม้แต่มีกฏหมายออกมาห้ามเผาป่า (แต่เผาเพื่อการเกษตรได้ เพียงแต่ มีช่วงห้ามเผา โดยห้ามเผาในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่นั้น จะประมาณ กุมภาพันธ์ ถึง เมษายน ของทุกปี) แต่อยากจะบอกว่า มันก็มีการแอบเผาแหละครับ และคนเผาก็รู้ด้วยว่า ไม่มีใครเอาเรื่องได้ เพราะสังคมบ้านเราคือ สงสารกันนั่นแหละ สุดท้ายก็เผากันมากมาย
ส่วนสาเหตุที่บ้านเราทำอะไรไม่ได้เลยก็คือ ประเทศเพื่อนบ้านเราครับที่เผากันสุดๆ เผากันชิ…บบบหา…. วายป่วง แบบไม่สนโลก แล้วมันก็พัดปลิวมาถึงบ้านเรานั่นเอง อันนี้ รัฐบาลควรที่จะออกโรงจัดการได้บ้างนะครับ ประชาชนคงทำอะไรไม่ได้เลย ในกรณีนี้
PM 2.5 ทำไม มันต้องมีเยอะช่วงหน้าหนาว ช่วงบูมการท่องเที่ยวพอดี
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรจะขนาดนั้น เจ้า pm 2.5 เวงตะไล(และ …….) มันชอบซะเหลือเกิน ภาคเหนือ+ ฤดูหนาว = ฤดูแห่งการท่องเที่ยวชมอากาศหนาว ขึนดอย สูดอากาศบริสุทธิ์ ชื่นนๆๆๆ ใจๆๆๆ แต่คุณลองมาดูตอนนี้สิ นึกภาพว่าไปขึ้นดอยที่ภาคเหนือ แล้วชมทะเลหมอก สูดอากาศเข้าเต็มปอด ซูดดดดดด = “ตาาาายย” แค่คิดก็เจ็บปอดแล้วครับผม จริงๆแล้วอากาศหนาวนั้นมันมีผลทำให้ pm 2.5 มีความรุนแรงขึ้น เพราะว่า อากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นไป แต่อากาศเย็นจะอยู่ด้านล่าง และพอมีใครก็ตามไปเผาๆๆๆๆๆๆ ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศขึ้น ฝุ่นควันเหล่านั้น มันก็ไม่กระจายขึ้นไปในอากาศ เพราะมันโดนอากาศเย็นจากด้านบนกดลงมาไงละ จากนั้นก็คนเรานี่แหละครับ สูดเข้าไปเต็มๆ ตอนนี้แม้แต่พี่เบิร์ดก็ไม่รู้หรอกครับว่า “หมอกหรือควัน”
PM 2.5 เราไม่มีมาตรการอะไร ของรัฐที่จะมาแก้ไขปัญหาได้เลยเหรอ
คำตอบก็คือ “มี”
ก็กฏหมายเกี่ยวกับการสร้างมลพิษทั่วไป ,เกี่ยวกับการเผาป่า, ทำลายป่า ฯลฯ มากมาย แต่ไม่ค่อยนำมาบังคับใช้กันครับ เพราะบ้านเรามันก็อะลุ่มละล่วยกันซะเคยชิน ยิ่งช่วงไหนมีการหาเสียงยิ่งแล้วใหญ่ (อุ๊ป)
ต้องบอกว่าผมเคยคุยเรื่องนี้กับวิชาชีพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลัด, หมอ, ตำรวจ และข้าราชการอื่นๆที่เกี่ยวข้องเยอะแยะ เนื่องจากสาเหตุหลักของเรามันมี 2 ประเด็นหลักๆเลยที่เป็นสาเหตุ คือ
1) การเผาในการเกษตร = เพราะว่าพื้นที่การเกษตรในปัจจุบัน มีการขยายพื้นที่การทำเพิ่มมากขึ้น แล้วพอเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อย มันก็จะเหลือซาก เช่น ข้าวโพด กองฟางข้าว วัชพืชต่างๆ ไรนี้ เกษตรกรเค้าก็มี 2 วิธีที่จะกำจัด คือ ง่ายสุดคือ การเผา ไม้ขีดซี่เดียวชิบหายได้หลายไร่ ปอดประชาชีก็ชิบหหาายไม่แพ้กัน หรืออีกวิธีคือ การไถ่กลบ ซึ่งไม่ทำให้เกิดมลพิษ แต่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น รถไถ ต้องมี น้ำมันเชื้อเพลิงของรถไถ ค่าจ้างคนขับ ฯลฯ ค่าจิปาถะ ทำให้ไม่ค่อยนิยม ส่วนวิธีอื่นๆอีก ก็เช่น เอาเศษไม้ใบหญ้า หรือสิ่งที่เหลือมาทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ แต่ก็ต้องใช้คนขน ใช้รถขนส่งกลับมาทำ ก็ต้องใช้งบ ใช้แรงอีกว่างั้นเถอะ ส่วนวิธีที่อาจจะก้าวหน้า แต่มีแค่บางพื้นที่ก็เช่น การเอาซากทางการเกษตรมาทำเป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานไฟฟ้าชีวะมวล ซึ่่งก็จะมีรายได้ให้กับเกษตรกรด้วย แต่ว่า มันก็ต้องมีการขนส่งอยู่ดี ค่าน้ำมัน ค่าคนขับ จะคุ้มทำหรือเปล่าในยุคน้ำมันแพง อันนี้คงต้องไปคิดเอาเองละครับ
2) การเผาป่า = เพื่อประโยชน์บางอย่าง ของคนบางกลุ่ม เช่น เผาป่าถางที่ เพื่อเพาะปลูก เพื่อล่าสัตว์ เพื่อหาของป่า เพื่อ ?? อะไรก็แล้วแต่ อยากบอกว่า มันผิดกฏหมายนะ หลายคนในหลายพื้นที่มีความคิดแปลกๆ เช่น ต้องเผาป่า เพื่อให้ผักหวานมันแตกยอดออกมา ไรงี้ แต่ความเป็นจริงแล้วหากถูกจับดำเนินคดีจริงๆ บอกเลยว่า ปรับโหดมาก และอาจจะติดคุกด้วย ในเรืองเกี่ยวกับการบุกรุกป่านี่จริงๆแล้ว กฏหมายโหด แต่ไหง คนไม่ค่อยกลัว และก็ยังแอบเผาป่าอยู่เสมอๆ
จากการคำนวนส่วนตัวแล้วพบว่า ปัญหา pm 2.5 หากคิดแค่ประเภทการเกิดฝุ่นนั้น จะประมาณนี้ครับ
การใช้ชีวิตประจำวันและรถยนต์ส่วนบุคคล = 10%
การเผาในเรื่องของการเกษตร = 40 %
การเผาป่า บุกรุกทำลายป่า = 40%
สิ่งอื่นๆ เล็กๆน้อยๆ หลายๆเรื่องรวมกัน = 10%
** อย่าลืมว่า การเผาป่า การเผาเพื่อการเกษตรนั้น ปัญหาที่พบ ไม่ได้เจอแต่ในประเทศไทยเราเท่านั้น มันมีในส่วนของประเทศเพื่อนบ้านเราด้วย แล้วลมมันก็พัดมาหาเรา ( อยากเรียกน้าค่อม มา สบถ)
ทำไม คนเผา ไม่กลัวกฏหมาย ??
หลายคนรู้แล้วละว่า การเผาป่า(คิดเฉพาะบ้านเรา) มันมีโทษหนักนะ แต่ทำไม ? เค้าไม่ค่อยกลัวกันเลย ผมเคยสอบถามผู้รู้กฏหมาย เช่น ตำรวจ อัยการ ปลัด ฯลฯ เค้าพูดคล้ายๆกันเลยครับว่า การจะเอาผิดคนๆหนึ่งข้อหา เผาป่า นั้นยาก เพราะว่าจะต้องมีทั้งพยานและหลักฐาน พยานก็เช่น คนเห็นเหตุการณ์(แมร่ง..อยู่ในป่า แอบทำ ไม่มีใครเห็น) อย่างต่อไปคือหลักฐาน ไม้ขีดไฟ 1 แท่ง พอจุดแล้ว ไม้ขีดไฟอยู่เหมือนเดิมเหรอ = ไม่ใช่ มันก็ไหม้ไง หายไปเลย หลักฐานหายยยย อ้าวทีนี้พยานก็ไม่มี หลักฐานก็ไม่มี จะเอาผิดยังไงล่ะ นั่นแหละครับ คือความยากของมัน
มีอาจารย์มหาลัยทางภาคเหนือท่านหนึ่งเคยคุยให้ฟังว่า คนแอบเผาป่า มันฉลาด มันใช้วิธีการปักธุปแล้วมีเชื้อเพลิงติด ทำเหมือนคล้ายๆระเบิดเวลา จุดแล้วก็ปักไว้ แล้วไปจุดอื่นอีก ก็ปักอีก แล้วไอ่สนน teen เหล่านี้มันก็ ปักๆๆๆๆๆๆ แล้วก็ไปนอนสบายใจเฉิบ รอให้ไฟมันไหม้ป่า โดยที่ไม่สามารถสาวโยงมาเอาผิดกับมันได้เลย เห็นไหมครับ คนแอบทำ กับคนคอยที่จะไปดับไฟป่า อันไหนทำยากกว่ากัน
ผมสงสารคนดับไฟป่ามากๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวก อส. ปลัด ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัครไฟป่า ฯลฯ บางครั้งต้องเข้าไปในภูเขาลึกมาก แล้วมักจะเจอช่วงเย็นๆค่ำๆ เพราะเห็นแสงไฟ แล้วมีคนมาแจ้ง บางครั้งไปช่วงเย็นๆ ได้กลับมาช่วงเช้าๆเลยก็มี เร็วสุดก็เที่ยงคืน ไรงี้ ไอ่คนเผาเมริงก็เผาจัง(ไร) คนดับไฟก็ต้องเหนื่อยๆๆๆ แต่ต้องบอกว่าบางครั้งก็ไม่ได้เกิดจากคนทำนะครับ บางทีไฟป่ามันเกิดเองก็มี แต่ก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็คนทั้งนั้นแหละ บางทีก็เผลอแบบไม่ตั้งใจก็มีเช่นกัน
ถ้าไม่แก้ไขกฏหมาย หรือ มีมาตรการอะไรมาแก้ไขอย่างจริงจัง คงไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้หรอกครับ
วิงวรให้คนเผาหยุดได้แล้ว และขอให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาแบบจริงจังซะทีเหอะครับ
คนที่เค้าทรมานกับการที่ต้องทนสูดอากาศที่มีมลพิษ มันเป็นอะไรที่อึดอัดมาก และทรมานมากๆ บางคนมีโรคประจำตัวนี่หนักเลยนะครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า คนที่ผมรู้จัก ในช่วงระยะเวลา ธันวาคม 2565 – มีนาคม 2566 มีผู้ที่เกิดสภาวะ Stroke หรือที่เรียกว่า โรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ซึ่งคนทั้ง 3 คน มีภาวะความดันโลหิตสูงมานานแล้ว แต่ไม่ได้รุนแรงอะไร และใน 3 คนนี้ มีอายุอยู่ในช่วง 35-50 ปีเท่านั้น และทั้ง 3 คนนี้ มีภาวะหลอดเลือดสมองแตก มีเลือดออกในสมอง แบบรุนแรง จำนวน 2 ใน 3 คน อาการหนัก นอนติดเตียงไม่รู้สึกตัวแต่ไม่ตาย อีกคนหนึ่งตอนนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม แต่ว่าได้รับการผ่าตัดสมองทั้ง 3 คน ทุกท่านลองคิดดูสิครับ ทำไม ต้องมาเกิดช่วงเวลานี้ ช่วงที่มี pm 2.5 หนักหนาและรุนแรง pm 2.5 มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ ? ผมคงต้องฝากให้ท่านผู้อ่านลองไปคิดเอาเองครับ และหวังว่าประชาชนทุกคนจะตระหนักและช่วยกันไม่สร้าง pm 2.5 ให้มันเกิดขึ้นให้มากไปกว่านี้